ดัมเมเชี่ยลตัวหนึ่ง
มีบางอย่างซ่อนอยู่ในภาพนี้ คุณเห็นมันหรือเปล่า?
หลายคน(หรือแทบจะทุกคน)เมื่อได้รับคำถามนี้ก็มักตอบกลับมาว่า
"ก็หมาดัมเมเชี่ยลตัวหนึ่งไง"
จากการทดลองเราพบว่าคนจำนวนมากเมื่อมองเจ้าภาพนี้แล้วก็มักจะตอบว่าเป็นภาพของสุนัขตัวหนึ่ง หรือถ้ามีความรู้เรื่องพันธุ์สุนัขซักหน่อยก็อาจจะระบุต่อไปได้อีกว่านี่คือภาพของสุนัขพันธุ์ดัมเมเชี่ยลตัวหนึ่ง (แต่ความเร็วในการพิจารนาและตอบคำถามก็อาจจะแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ไหวพริบของแต่ละคน)
ทีนี้ผมอยากจะให้เรามองภาพนี้อีกครั้งหนึ่ง
ลองตั้งสติดีๆ แล้วพิจารนาถึงรายละเอียดของภาพนี้ให้ดี
เราจะพบว่าภาพนี้ความจริงมันไม่มีรูปสุนัขเลยซักตัว เพราะมันเป็นเพียงแค่ภาพที่ประกอบด้วยจุดสีดำจำนวนมากบนพื้นสีขาวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
พอถึงตรงนี้หลายคนก็ยังคงยืนยันอยู่ว่านี่คือรูปสุนัขพันธุ์ดัมเมเชี่ยลตัวหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ขอให้ท่านจงดูให้ดีเถอะว่าความจริงแล้วรูปภาพนี้มันเป็นเพียงจุดดำบนพื้นขาวเท่านั้น ไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่านั้นอย่างแน่นอน
แล้วหมาดัมเมเชี่ยลมันมาจากไหน?
คำตอบก็คือมันมาจากกระบวนการ Generalization และ Distortion ในการสื่อสารภายในสมองของเรานั่น
หน้าที่สำคัญที่สุดของสมองก็คือการค้นหาคำตอบสำหรับทุกๆ สิ่ง
ดังนั้นทันทีที่ระบบประสาทรับรู้ภาพนี้เข้า สิ่งแรกที่มันจะทำก็คือการ "ค้นหาคำตอบ" ว่า "สิ่งนี้คืออะไร?"
เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบสมองก็จะทำการค้นหาข้อมูลว่ามีประสบการณ์ใดบ้างที่ใกล้เคียงหรือเทียบเคียงกันได้กับสิ่งที่เรากำลังรับรู้อยู่นี้
แต่เนื่องจากสิ่งที่เรากำลังรับรู้อยู่นี้มันมีรายละเอียดที่ยังไม่มากเพียงพอ มันยังดูคลุมเครือมากเกินไปกว่าที่จะสามารถหาคำตอบอย่างแน่ชัดได้
ดังนั้นเพื่อให้มันง่ายเข้า สมองของเราจึงพยายามมองภาพนี้อย่างเป็นองค์รวม (Generalization) เพื่อลดทอนรายละเอียดส่วนที่ไม่จำเป็นลงจนสามารถนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นเพื่อหาคำตอบได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้สมองก็ยังแอบเล่นตุกติกด้วยการแต่งเติมหรือบิดเบือนรายละเอียด (Distortion) บางอย่างให้กับข้อมูลที่กำลังรับรู้อยู่นี้ (เหมือนสมองมันกำลังเล่นเกมเติมคำในช่องว่างอยู่)
ดังนั้นแทนที่สมองของเราจะรับรู้แค่ว่านี่เป็นแค่ภาพจุดสีดำจำนวนมากบนพื้นสีขาว มันก็เลยกลายเป็นหมาดัมเมเชี่ยลในห้วงของการรับรู้ของเราไปในที่สุด
กระบวนการรับรู้ที่บิดเบี้ยวไม่ตรงไปตรงมาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว มันเป็นกลไกทางธรรมชาติที่ทำงานอยู่ภายในระบบประสาทขของมนุษย์ทุกคนอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
การโกงกันเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ช่วยให้สมองของเราหาคำตอบได้เร็วขึ้น และที่สำคัญก็คือประหยัดพลังงานได้มากยิ่งขึ้น
นั่นคือประโยชน์สำคัญซึ่งสมองยอมแลกมาด้วยความบิดเบี้ยวไม่ตรงไปตรงมาของการรับรู้
เมื่อสมองรับรู้ว่าสิ่งนี้ว่าคือภาพของสุนัข ดังนั้นสมองก็จะสร้างเริ่มสร้างรูปแบบบางอย่างในการตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังรับรู้นี้ ซึ่งแน่นอนว่าสมองของแต่ละคนย่อมมีรูปแบบ (โปรแกรม) ในการสร้างการตอบสนองที่แตกต่างกัน บางคนชอบ บางคนเกลียด บางคนกลัว บางคนเฉยๆ
แทนที่จะตอบสนองต่อภาพนี้ในฐานะของภาพที่ประกอบไปด้วยจุดจำนวนมาก
ดังนั้นสำหรับ NLP แล้ว ระบบประสาทของผู้คนจึงตอบสนองต่อสิ่งที่ "รับรู้" เท่านั้น มันไม่ได้ตอบสนองต่อ "เหตุการณ์" ที่กำลังเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด
คือเหตุการณ์จริงจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่สมองน่ะ กำลัง "รับรู้" ต่อเหตุการณ์นั้นว่าอย่างไร มันก็จะตอบสนองกันไปอย่างนั้น
นี่ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ
ดังนั้นสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น บางทีเราอาจรู้สึกว่ามันแย่ แต่มันเป็นเรื่องแย่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นจริง หรือสมองของเราเพียงแต่ "รับรู้" และตีความหมายว่านั่นคือเรื่องแย่ๆ ?
สมองของเรากำลังซื่อตรงต่อเรามากขนาดไหน?