ความวิตกกังวล

   


ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ มีคนจำนวนมากมาหาเราเพื่อเข้าสู่กระบวนการสะกดจิตบำบัด (hypnotherapy) ด้วยปัญหาเรื่อง “ความวิตกกังวล”
.
พวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมความวิตกกังวลของตัวเองได้ 
.
ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลในเรื่องของสุขภาพ หน้าที่การงาน ชีวิตครอบครัว หรือเรื่องอื่นๆ ที่อาจจะสลับซับซ้อนมากกว่านั้น
.
ความ "วิตกกังวล" (Anxiety) หมายถึงอารมณ์อันไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากความยุ่งเหยิงภายในจิตใจ เกิดขึ้นได้เมื่อเราครุ่นคิดคาดการณ์ถึงสิ่งที่(อาจ)จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมักเกิดขึ้นพร้อมกับพฤติกรรมทางประสาท(หมายถึงพฤติกรรมที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยสำนึกความรู้คิด) อาทิเช่นความแปรปรวนทางอารมณ์ (เช่นหงุดหงิด กลัว หวาดระแวง) หรือความแปรปรวนทางร่างกาย (เช่นหัวใจเต้นแรง มือสั่น หายใจไม่ทั่วท้อง)
.
แน่นอนว่าในสภาวะเช่นนี้ จะหาความสุขหรือความสงบในชีวิตนั้นก็คงเป็นเรื่องยากเต็มที 
.
ความวิตกกังวลจึงถือว่าเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่งที่เราควรรีบจัดการมันเสียก่อนที่จะสะสมเพิ่มพูนจนก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาได้อีกมากมาย
.
สำหรับเรื่องของความวิตกกังวลนี้ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะต้องพูดกันอยู่เสมอก็คือความแตกต่างระหว่าง 
.
“ความวิตกกังวล” กับ “ความรอบคอบ”
.
เหตุผลเพราะสองอย่างนี้ดูเหมือนว่าจะมีความใกล้เคียงกันอยู่มาก จนชวนให้สับสนว่าสิ่งที่ฉันกำลังเป็นอยู่นี้มันคืออะไรกันแน่
.
ในขณะที่ความรอบคอบช่วยทำให้เราไม่ประมาท ช่วยทำให้เกิดความมั่นคงในการดำเนินกิจกรรมด้านต่างๆ แต่ความวิตกกังวลนั้นดูเหมือนจะไม่ให้อะไรกับเราเลยนอกเสียจากความทุกข์
.
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นเพียงคนรอบคอบหรือเป็นคนวิตกจริต?
.
"ฉันวิตกจริตหรือฉันเป็นเพียงแค่คนรอบคอบไม่ประมาท?"
.
การจะตอบคำถามนี้ได้เราจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับทั้งสองอย่างนี้เสียก่อน
.
สำหรับจุดตัดที่ง่ายที่สุดที่เราจะสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้ได้อย่างชัดเจนก็คือ “แผนการ” 
.
โดยความรอบคอบนั้นจะนำเราไปสู่การคิดแผนการสำรองเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์บางอย่างซึ่งคาดคะเนแล้วอาจเกิดขึ้นได้ แน่นอนว่าสถานการณ์พวกนั้นบางทีเราเองก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นสักเท่าไหร่หรอกต่ก็จำเป็นต้องคิดเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
.
เช่นตั้งใจว่าจะซื้อบ้านสักหลังในปลายปีนี้ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้มันก็จะจบลงไปได้ด้วยดี แต่ถ้าไม่ใช่ เช่นกู้ธนาคารแล้วไม่ผ่าน หรือได้วงเงินกู้ไม่เต็มจำนวน หรือมาพบทีหลังว่าบ้านที่เซ็นสัญญาซื้อไปแล้วนั้นเกิดมีปัญหา คำถามคือ “เราจะจัดการสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เหล่านี้อย่างไร?” 
.
การมีแผนสำรองเตรียมเอาไว้คือหลักฐานอย่างชัดเจนถึงการเป็นคนรอบคอบ
.
เมื่อมีแผนสำรองสำหรับการรับมือสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ทุกอย่างก็จบอยู่เพียงเท่านั้น 
.
คนรอบคอบก็จะไม่ต้องมากังวลอะไรกับปัญหาในใจพวกนี้อีก พวกเขาก็จะลงมือตามแผนที่วางไว้ หากไม่ได้ตามที่ตั้งใจก็เพียงแต่เปลี่ยนไปใช้แผนสำรองเท่านั้นเอง
.
ส่วนคนวิตกจริตนั้นแตกต่างออกไป 
.
เพราะเมื่อพวกเขาวิตกกังวลต่อบางสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว "ทุกอย่างก็จะจบอยู่แค่ตรงนั้น" 
.
คือจะไม่มีการแผนสำรอง ไม่มีวิธีการเตรียมรับมือใดๆ ไม่มีทางหนีทีไล่ฉุกเฉิน 
.
ที่มันจะมีก็เพียงแค่ความกลัวเท่านั้น แล้วห้วงแห่งความคิดก็จะวนเวียนติดอยู่ในหล่มของความกลัวอยู่อย่างนั้นอย่างไม่รู้จบ
.
การวนเวียนอยู่แต่ในห้วงแห่งความกลัวอย่างไร้ทางออกนี่แหละ คือหลักฐานว่ากำลังวิตกกังวล และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเป็นความทุกข์ภายในจิตใจขึ้นมาด้วย
.
พื้นฐานของการเอาชนะความวิตกกังวลจึงเป็นเรื่องของ "การเอาชนะความกลัว"
.
พอพูดถึงเรื่องของความกลัวแล้ว เราต้องไม่ลืมว่าความกลัวนั้นเป็นผลผลิตซึ่งเกิดมาจากจิตใจในส่วนที่เรียกว่า "จิตใต้สำนึก" ซึ่งจิตใต้สำนึกนี้เป็นพื้นที่ของจิตใจในส่วนที่ทำงานไปโดยอัตโนมัติอย่างไร้เหตุผล 
.
(คนเราย่อมสามารถรู้สึกกลัวได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล หลักฐานก็คืออาการโฟเบียหรือที่เรียกง่ายๆ ว่าโรคกลัวนั่นเอง)
.
เนื่องจากมันไร้เหตุผล ความกลัวจึงเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุม (เราอธิบายเหตุผลให้คนหายกลัวจากบางสิ่งที่เขาเคยชินที่จะกลัวไม่ได้)
.
 ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะบอกว่าความวิตกจริตนี้ก็เป็นเรื่องยากเช่นที่จะควบคุม
.
หลายคนจึงรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังวิตกนั้นเป็นเรื่องไร้เหตุผล เป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่ควรใส่ใจแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะความวิตกกังวลเหล่านั้นได้
.
มันคืออิทธิพลซึ่งเกิดจากผลักดันมาจากความไม่รู้ภายในจิตใต้สำนึกของพวกเขา ซึ่งอยู่นอกเหนือจากกรอบพื้นที่ของการรู้สำนึกเหตุผลภายในจิตใจ
.
หากจิตใต้สำนึกไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ได้รับการเรียนรู้ถึงวิธีการใหม่ๆ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะต่อความวิตกกังวลเหล่านั้นได้ 
.
สำหรับการสะกดจิตบำบัด (hypnotherapy) นั้น เราพุ่งเป้าหมายของกระบวนการไปที่การเรียนรู้ของจิตใต้สำนึกโดยตรง 
.
ดังนั้นหากคุณมีปัญหาความวิตกกังวลที่ไม่สามารถควบคุมมันได้จนทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาแล้วล่ะก็ วิธีการสะกดจิตบำบัดก็อาจจะเป็นอีกวิธีการหนึ่งซึ่งสามารถช่วยเหลือคุณได้เป็นอย่างดี