สมองเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์ที่แท้ก็พัฒนาตนได้

   


ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน (Richard Davidson Ph.D) ได้ทำการศึกษาในพระทิเบตรูปหนึ่งชื่อ พระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด ซึ่งฝึกสมาธิมาเป็นเวลา 30 ปี
 
เมื่อตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI ก็พบว่าพระ ดร.แมทธิว มีส่วนเปลือกนอกสีเทาๆ ที่เรียกว่า Gray Matter ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาทหนากว่าคนทั่วไป
 
และบริเวณส่วนหน้าแถวหน้าผากด้านซ้าย มีการทำงานของคลื่นสมองดีขึ้น มีลักษณะของคลื่นสมองช้าและสม่ำเสมอมากกว่าคนทั่วไป
 
ต่อมา เขาได้ทดลองในอาสาสมัครที่ฝึกสมาธิทุกวัน วันละ 30 นาที (เช้าและเย็น) เป็นเวลา 3 เดือน แล้วตรวจดูด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI
 
ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่าสมองคนเรามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างและการทำงานได้
 
โดยเขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง
 
เรื่องนี้เป็นการค้นพบใหม่ และได้ทำลายความเชื่อเก่าที่ว่า สมองเปลี่ยนแปลงไม่ได้
 
สมองของคนเราสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลาโดยการฝึกสมาธิ ทำให้สมองสร้างเซลล์สมองใหม่ๆ มากขึ้น การทำงานดีขึ้น คลื่นสมองสม่ำเสมอ ช้าลง ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่มีความสุข สุขภาพจิตดี
 
นอกจากนั้น เขายังได้ศึกษากรณีของอารมณ์เครียด อารมณ์โกรธ และอารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสมองในทางตรงข้าม คือมันทำให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำเสื่อมลง และเซลล์อายุสั้นลง
 
การฝึกทำสมาธิมีผลโดยตรงกับ Cortex อันเป็นพื้นที่สมองเกี่ยวข้องกับเรื่องจิตรู้สำนึก (Conscious) โดยเฉพาะสมองส่วนหน้าที่เป็นเรื่องของการควบคุมอารมณ์
 
ส่วนหน้าของสมองนี้คนจีนสมัยโบราณเรียกว่า "ซ่างตันเถียน" (ตันเถียนที่อยู่ด้านบน) มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับ "จิตพุทธะ" (ธาตุรู้) หรือเกี่ยวข้องกับความเป็น "มนุษย์ที่แท้"
 
เหตุผลที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะว่าคนเราจะมีเป็นความเป็นมนุษย์มากน้อยแค่ไหน ก็ย่อมวัดกันที่ความสามารถในการรู้ผิชอบชั่วดี เมื่อรู้แล้วก็ต้องมีสติยับยั้งชั่งใจ ไม่ปล่อยตนให้ลื่นไถลไปตามกิเลสและตัญหา
 
เป็นการรู้จักข่มอารมณ์ซึ่งเป็นแรงผลักดันเบื้องลึกจากจิตใต้สำนึก (Subconscious)
 
เพราะสิ่งเหล่านี้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือแมลงทั่วไปทำไม่ได้
 
มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่มี