สมดุลระหว่างจิตรู้สำนึกและจิตใต้สำนึก

   


ในขณะที่ผมเดินอยู่ดีๆ กลิ่นไข่เจียวจากที่ไหนก็ไม่รู้ก็ลอยแตะมา จมูก 
 
เนื่องจากที่ผ่านมาผมผ่านประสบการณ์ต่างๆ มามากมายที่จะเรียนรู้ว่า "กลิ่นไข่เจียว = หอม" เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจึงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากความรู้สึกว่ากลิ่นนี้ "หอม" โดยไม่สามารถกำหนดให้เป็นอย่างอื่นได้
 
นี่ก็คือลักษณะการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ของจิตใต้สำนึก มันทำงานไปตามรูปแบบเดิมของมันเสมออย่างเที่ยงตรง
 
แต่เนื่องจากกลิ่นของไข่เจียวนี้สมองของผมตีความหมายว่ามันไม่ค่อยสำคัญนัก ดังนั้นปริมาณความรู้สึกที่ถูกผลิตออกมามันจึงไม่ได้มากมายเสียจน "สติ" หรือตัวจิตรู้สำนึกจะสามารถควบคุมเอาไว้ได้ ดังนั้นมันจึงไม่ยากเย็นอะไรเลยถ้าผมจะยังควบคุมความรู้สึกนี้เอาไว้ไม่ให้มันถูกสำแดงออกมา 
 
ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวผมมากนักเมื่อผมได้กลิ่นนี้
 
นี่คือหน้าที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของจิตรู้สำนึกที่มีต่อจิตใต้สำนึก คือควบคุมและปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกไม่ให้เปิดเผยออกมาอย่างไร้การควบคุม
 
ในทางตรงกันข้ามถ้านี่ไม่ใช่กลิ่นไข่เจียวหอมๆ หากแต่เป็นกลิ่นของแก๊สรั่ว? 
 
สมองของผมได้ผ่านประสบการณ์และเรียนรู้มาเป็นอย่างดีแล้วว่ากลิ่นนี้สำคัญต่อชีวิตของผมเพียงใด ดังนั้นจิตใต้สำนึกย่อมต้องผลิตอารมณ์หรือความรู้สึกหวาดกลัวออกมาอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันให้ผมเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ให้ได้เร็วที่สุด
 
ถ้ามัวแต่ใช้เหตุผล ใช้ตรรกะ ใช้การรู้สึกบางทีอาจจะไม่ทันการก็เป็นได้ สัญชาติญานน่าจะเป็นทางออกที่ดีในบางกรณี
 
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าอารมณ์หรือความรู้สึกถูกจิตใต้สำนึกผลิตขึ้นมามากจนเกินไป เราก็จะตอบสนองต่อสิ่งต่างด้วยสัญชาติญานล้วนๆ แทนที่จะเป็นสติปัญญา ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ผมสามารถเอาตัวรอดได้เสมอไป ลองนึกคนที่กลัวจนเสียการควบคุมตัวเองซิ แทนที่เขาจะทำเรื่องง่ายอย่างเช่นเดินไปปิดแก๊สหรือไม่ก็รีบเดินออกไปให้พ้นจากตรงนั้นเสีย แต่กลับเอาแต่ร้องเอะอะโวยวายโดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นสาระขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นตามมา?
 
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่ว่าจิตรู้สำนึกหรือจิตใต้สำนึกอะไรสำคัญกว่ากัน
 
ความสมดุลกันระหว่างจิตรู้สำนึกและจิตใต้สำนึกต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ
 
เราจะสร้างความสมดุลย์ระหว่างสองฟากฝั่งของสมองของเรานี้ได้อย่างไร?
 
ความจริงคำตอบนั้นมีเป็นจำนวนมาก ส่วนการสะกดจิต (Hypnosis) นั้นก็เป็นเพียง "คำตอบ" หนึ่งที่น่าสนใจก็เท่านั้นเองครับ
 
เรียนรู้ที่จะสร้างความสมดุลระหว่างสองฟากฝั่งของจิต ทั้งสติและสัญชาติญาณ นั่นแหละคือสิ่งที่การสะกดจิตบำบัดต้องการ