พลังของจินตนาการ

   


การสร้างจินตภาพ (visualization) ไม่ใช่การคิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง
 
สำหรับการคิดแบบวิเคราะห์นั้นจะเกิดขึ้นในสมองซีกซ้ายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสมองส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้ควบคุมด้านภาษา การวางแผน การตัดสินใจ และเรื่องตัวเลข
 
ส่วนการนึกภาพที่สร้างสรรค์หรือการสร้างจินตภาพ จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองซีกขวา ซึ่งประกอบด้วยการใช้สายตา การฟัง และการดมกลิ่น รวมทั้งความจำ ความรู้สึก และอารมณ์
 
ขอให้ทดลองจินตนาการตามอย่างนี้ว่า
 
ขณะนี้ ...คุณใช้มีดคมหั่นมะนาวออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งน้ำมะนาวบางส่วนก็กระเด็นออกมา และกลิ่นของมันก็ยิ่งแรงขึ้น 
 
จินตนาการต่อไปว่า ได้วางมะนาวชิ้นหนึ่งเอาไว้ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วที่เหลือ จากนั้นก็บีบมันเบาๆ มองดูน้ำะนาวที่ไหลเอ่อ และเนื้อมะนาวบางส่วนก็หลุดร่วงออกมายกชิ้นมะนาว 
 
ขอให้จ่อชิ้นมะนาวนี้ไว้ที่ปาก แล้วปล่อยให้น้ำมะนาวไหลหยดที่ลิ้น 
 
ถึงตอนนี้คุณได้สัมผัสกับมะนาวลูกนั้นด้วยสมองทั้งสองซีกในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง น้ำลายของคุณเอ่อ และรสเปรี้ยวของมะนาว(ในจินตนาการ) ทำให้คุณต้องตัวสั่นจนต้องห่อริมฝีปาก 
 
ร่างกายของคุณตอบสนองราวกับว่ากำลังลิ้มรสมะนาวจริงๆ การจินตภาพนี้ชักชวน (ให้คำแนะนำหรือชี้แนะ) ให้สมองของคุณคิดว่ามะนาวลูกนั้นมีอยู่จริงๆ และคุณก็กำลังกินันเข้าไปจริงๆ
.
นักกีฬาใช้การสร้างจินตภาพที่สร้างสรรค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตน โดยจินตนาการว่ากำลังเหวี่ยงไม้หรือยัดลูกบาสลงห่วง ก่อนเกมสำคัญสำคัญจะเริ่มขึ้นจริง
 
การทำแบบนี้มันช่วยให้การตอบสนองพวกเขามีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น 
 
นักวิจัยค้นพบว่านักดนตรีที่ทำท่าฝึกซ้อมเปียโนทุกวันในจินตนาการ สามารถทำให้ทางเดินประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวเกิดการพัฒนาขึ้นเช่นเดียวกับคนที่ฝึกซ้อมเปียโนจริงๆ 
 
จินตภาพในสมองได้หลอกให้สมองเชื่อว่าเรากำลังทำสิ่งที่จินตนาการอยู่จริงๆ
 
แม้แต่ผู้ป่วยที่กินยาหลอก และได้รับการบอกอย่างตรงไปตรงมาว่านั่นคือเป็นยาหลอก ก็ยังมีรายงานว่าพวกเขามีอาการปวดลดน้อยลงกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาเลย
 
อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อเราได้รับข่าวสาร ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นความจริง แต่ข่าวสารนั้นก็ยังสร้างความทรงจำทางร่างกายบางอย่างภายในตัวเรา ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายและระบบประสาท
 
นี่เป็นคำอธิบายได้ดีว่าทำไมการสร้างจินตภาพ และการ #สะกดจิตบำบัด (Hypnotherapy) จึงได้ผลดีเช่นกัน
 
จิตใต้สำนึกของเราคิดเป็น 88 เปอร์เซ็นต์ของจิตใจ 
 
และเราก็สามารถใช้การสะกดจิตนำพาให้ได้เข้าไปสื่อสารกับสมองส่วนนั้นของตนได้โดยตรง
 
:)
 
เรียบเรียงจาก Childhood Disrupted 
ผู้เขียน Donna Jackson Nakazawa