ช่วงเวลาทองคำของการสะกดจิต
สำหรับนักสะกดจิตแล้ว เราทราบกันดีว่าหัวใจที่สำคัญที่สุดของการสะกดจิตก็คือคำว่า "ผ่อนคลาย"
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถทำการสะกดจิตหรือบรรจุข้อมูลใดๆเข้าไปในจิตใต้สำนึกของใครซักคน
ถ้าเราไม่ได้ทำให้คนๆ นั้นเกิดสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจเสียก่อน
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นทราบหรือไม่ครับ?
เหตุผลของมันนั้นเราจะต้องมาทำความรู้จักกับการทำงานของสมองของเรากันก่อน โดยเราจะแบ่ง
ระดับการทำงานของสมองของเราด้วยระดับความถี่ของคลื่นสมอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งคลื่นการทำงาน
ของสมองเราออกเป็น 4 ระดับ โดยเริ่มจาก เดลต้า อัลฟ่า เธต้า และเดลต้า
• คลื่นเบต้า (Beta brainwave) มีความถี่ประมาณ 14-21 รอบต่อวินาที (Hz)
เป็นช่วงคลื่นสมองที่เร็วที่สุด เกิดขึ้นในขณะที่สมองอยู่ในภาวะของการทำงานที่ตื่นตัว
ซึ่งก็คือช่วงเวลาปรกติในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง สำรับคนที่เครียดมากๆ สมองทำงานหนักๆ
ความถี่ของคลื่นสมองอาจจะสูงไปถึง 40 รอบต่อวินาทีก็อาจจะเป็นได้
• คลื่นอัลฟ่า (Alpha brainwave) มีความถี่ประมาณ 7-14 รอบต่อวินาที (Hz)
คลื่นสมองแบบนี้พบในคนที่มีความสุข อยู่ในสภาวะที่สบายๆ ผ่อนคลายจากสิ่งเร้าภายนอก
หรือคนที่กำลังอยู่ในสภาวะสมาธิ สาเหตุที่ความถี่ของสมองน้อยลงก็เพราะการทำงานของสมอง
น้อยลง (ช้าลง) นั่นเอง ดังนั้นความคิดอ่านในช่วงนี้จึงเป็นอย่างช้าๆ แต่เฉียบคม
จัดว่าเป็นช่วงที่สมองทำงานน้อยที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดก็ว่าได้
• คลื่นเธต้า (Theta brainwaves) มีคลื่นความถี่ประมาณ 4 - 11 รอบต่อวินาที (Hz)
เป็นช่วงที่คลื่นสมองทำงานช้าลงมาก ปรกติจะพบในช่วงเวลาที่เราหลับสนิท หรือมีความผ่อนคลายอย่างสูง
หรือสภาวะการทำสมาธิในระดับลึก
• คลื่นเดลต้า (Delta brainwaves) มีความถี่ประมาณ 0 – 4 รอบต่อวินาที(Hz)
นี่เป็นช่วงที่คลื่นสมองทำงานช้าที่สุด สภาวะนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราอยู่ในระดับความผ่อนคลายที่สูงมาก
เช่นการหลับลึก หรือการทำสมาธิเข้าภวังค์ในระดับที่ลึกมากๆ
สำหรับการสะกดจิตนั้นจะอาศัยช่วงจังหวะที่สมองของผู้รับการสะกดจิตอยู่ในระดับความถี่ตั้งแต่อัลฟ่าขึ้นไป
(โดยทั่วไปก็วนเวียนอยู่ในระดับอัลฟ่านี่แหละ) ทั้งนี้ก็เพราะว่าการทำงานในระดับนี้สมองจะทำงานน้อยลง
ในแง่ของสมองส่วน Output นั้นมันจะจะช่วยให้ความคิดความอ่านของเราสุขุมแหลมคมขึ้น
ในขณะที่สมองส่วน Input นั้นการทำงานงานในส่วนของตัวคัดกรองของจิตสำนึกทำงานน้อยลง
สภาวะนี้เราเรียกว่า "สภาวะจิตใต้สำนึกเปิดรับข้อมูล" ซึ่งมันเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการสะกดจิตของเรา
ปัญหาก็คือเราจะทำให้ให้สมองของผู้รับเข้าสู่สภาวะอัลฟ่าได้อย่างไร?
คำตอบนี้อยู่ที่ว่าในสภาวะแบบใดที่สมองของเราจะอยู่ในสภาวะอัลฟ่า
เราพบว่ารูปแบบของคลื่นอัลฟ่านี้จะปรากฏขึ้นก็เมื่อเราอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย (กล้ามเนื้อส่วนต่างๆผ่อนคลาย)
นอกจากนี้ก็ยังปรากฏในช่วงเวลาที่เราง่วงนอน ก่อนหลับหรือหลับใหม่ๆ เวลาทำเราอะไรเพลินๆ
จนลืมสิ่งรอบตัว ช่วงเวลาที่เรามีความสบายใจ ช่วงเวลาที่เราอ่านหนังสือหรือจดจ่อกับกิจกรรมใด ๆ อย่างต่อเนื่อง
ในระยะเวลาหนึ่ง รวมถึงการเข้าสมาธิในระดับภวังค์ที่ไม่ลึกมากด้วย
นั่นหมายความว่าถ้าคุณอยากจะให้คำแนะนำบางไปยังจิตใต้สำนึกของใครสักคนล่ะก็
ช่วงเวลาเหล่านี้ถือว่าเป็นนาทีทองเลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีการฝึกใช้โทนเสียงโมโนโทน
และการใช้เทคนิคเสริมความไว้ใจอย่างพวกเทคนิคกระจกเงา (Mirror) อย่างชำนานแล้วล่ะก็
ผลของมันก็จะยิ่งน่าประทับใจ
สำหรับการสะกดจิตแบบสไตล์ดั้งเดิม (Old School Style Hypnosis) นั้น
เราจะอาศัยคำพูดชักนำโน้มน้าวให้ผู้รับการสะกดจิตเกิดการผ่อนคลายโดยตรงเลย เช่นนับ 20 ไปถึง 1
แล้วให้ร่างกายแต่ละส่วนผ่อนคลายอย่างเป็นระบบ โดยอาจจะใช้การจินตนาการถึงบางอย่าง
(เช่นเดินลงบันได เปิดบานประตู หรือนอนเล่นในเปลญวณ) ประกอบไปด้วย
วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ดีเยี่ยมอย่างแน่นอนเพราะใช้กันมาตั้งเป็นร้อยปีก็ได้ผลดีมาโดยตลอด
แต่ปัญหาของมันก็คือความมากด้วยพิธีรีตรองของมันนั่นเอง
คือกว่าจะให้ผ่อนคลายจนครบกระบวนการได้เสียเวลานานพอสมควรทีเดียว อีกทั้งสภาพแวดล้อมรอบๆ
ก็ต้องเป็นใจอีกด้วย แต่สำหรับการสะกดจิตสมัยใหม่ (Modern Style Hypnosis) นั้น
ต่างออกไป
เนื่องจากสภาพแวดล้อมและเวลาอาจจะไม่อำนวย ดังนั้นจึงมีการพัฒนาเทคนิคการสร้างความผ่อนคลาย
ให้กับผู้รับการสะกดจิตที่รวบรัดรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่นการใช้คำพูดชวนคุยให้เกิดความผ่อนคลายอย่างไม่รู้ตัว
การใช่ถ้อยคำที่เป็นคำสั่งชัดเจน เทคนิคการใช้ภาษากาย รวบไปถึงกลวิธีทางจิตวิทยาต่างๆอีกหลายวิธีการ
นี่ก็เพื่อสร้างเงื่อนไขบังคับให้ผู้รับการสะกดจิตสามารถเกิดสภาวะความผ่อนคลายโดยอัตโนมัติ
ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดเทคนิคการสะจิตอย่างรวดเร็ว (Rapid Hypnosis) ซึ่งอาศัยเวลา
ในการสะกดจิตเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ในชีวิตประจำวันนั้นมันก็เหมือนกับการสะกดจิตสมัยใหม่ครับ ในเมื่อเราไม่สามารถสร้างความผ่อนคลาย
โดยตรงอย่างมีขั้นตอนและพิธีรีตรองที่สมบูรณ์ได้เหมือนอย่างสไตล์ดั้งเดิมเขาทำกัน (ผมคิดว่า
ไม่น่าจะมีคู่เจรจาทางธุรกิจของเราคนไหนยอมให้เรามานั่งสะกดจิตก่อนการเจรจาหรอกนะ) เราก็ต้องสร้าง
เงื่อนไขบางอย่างขึ้นมาเพื่อทำให้เกิดสภาวะความผ่อนคลายโดยอัตโนมัติแทน
ดังนั้นสำหรับการประชุมหรือการเจรจาธุรกิจครั้งหน้า ลองสร้างสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อคลื่นสมองอัลฟ่าขึ้นมา
ลองปรับบรรยากาศให้มันดูผ่อนคลายมากขึ้น อย่าไปตั้งพิธีรีตรองให้มันตึงเกินไปนัก เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ
หรือเสียงธรรมชาติที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย (เดี๋ยวนี้มีขายเยอะแยะ โหลดฟรีในอินเทอร์เน็ตก็ยังมีมากมาย)
หรือจะลองเล่าเรื่องตลกๆ เรื่องไร้สาระสักเล็กน้อยก่อนการเจรจาจริงจะเริ่มขึ้นก็ได้
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เขาเปิดโอกาสรับฟังเราได้มากและง่ายยิ่งขึ้น หรือจะลองหาโอกาศนัดคู่เจรจาธุรกิจ
ไปออกกำลังกายเบาๆ ที่สโมสรออกกำลังกาย ไปงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ ที่เป็นกันเอง
หรือไปสปาผ่อนคลายความเครียดบ้างก็ได้ อย่าลืมว่าในช่วงเวลาที่แสนสบายอย่างนี้
ยิงอะไรเข้าไปก็โดนทั้งนั้นครับ