History of Hypnosis ตอนที่ 1 “The Power of Magnetism”
เมื่อพูดถึงเรื่องของการสะกดจิต (Hypnosis) โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเริ่มต้นกันที่แพทย์ชาวออสเตรียที่มีชื่อว่า Franz Anton Mesmer พลังแม่เหล็กแห่งสัตว์ (Animal Magnet) และลัทธิ Mesmerism ของเขา
แต่ความจริงแล้วเรื่องราวต่างๆ ก็มีก่อนหน้านั้นออกไปอีก
หากเราไปที่ยุโรปแล้วย้อนเวลากลับไปในยุคกลาง เราจะพบว่าผู้คนสมัยนั้นนิยมประดับร่างกายด้วยแม่เหล็ก เหตุผลก็เพราะว่าในสมัยนั้นมีความเชื่อถือกันว่าพลังจากแม่เหล็กสามารถให้คุณประการต่างๆ แก่ร่างกายของเราได้ เพราะมนุษย์เราทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มีพลังแม่เหล็กแฝงอยู่ในตัวเอง
ดูเหมือนว่า Paracelsus (1493-1541) จะเป็นคนแรกๆ ที่ศึกษาในเรื่องนี้ โดย Paracelsus เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็นเหมือนจักรวาลขนาดเล็ก มันประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่รวมกลุ่มกันอย่างสมดุลและมีระบบระเบียบคล้ายกับดวงดาวต่างๆ ที่มาประกอบกันอย่างสมดุลจนกลายเป็นจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งพลังแม่เหล็กนั่นเองคือตัวรักษาความสมดุลในร่างกายที่ว่านั้นเอาไว้เฉกเช่นเดียวกับพลังแม่เหล็กที่รักษาความสมดุลของจักรวาล ดังนั้นร่างกายของมนุษย์จึงหลีกเลี่ยงอิทธิพลจากพลังแม่เหล็กไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ Paracelsus ยังเป็นคนแรกๆ ที่กล่าวถึงเรื่องของความผิดปกติทางจิตบางอย่าง เขากล่าวว่าในบางครั้งการไม่มีสติรู้ตัว (Unconscious) หรือความเชื่อที่เข้มข้นก็สามารถทำให้คนเราสามารถมองเห็นหรือได้ยินอะไรบางอย่างที่ไม่มีอยู่จริงได้
และการไม่มีสติรู้ตัว (Unconscious) ที่ Paracelsus ได้กล่าวถึงนี้เองที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องการสะกดจิตในเวลาต่อมา
Jan Baptist van Helmont (1579-1644) คือคนแรกที่คิดค้นคำว่า "แม่เหล็กแห่งสัตว์" (animal magnetism) ขึ้นมา เขาอธิบายว่าแม่เหล็กแห่งสัตว์ก็คือพลังงานแม่เหล็กบางอย่างซึ่งละเอียดอ่อนมากๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในระบบกระแสโลหิตในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ต่างๆ โดยการไหลเวียนของพลังแม่เหล็กแห่งสัตว์นี้จะได้รับอิทธิพลมาจากเจตจำนงอีกที
Maximilian Hell (1720- 1792) นักบวชนิกายเยซูอิต เขาได้ทดลองการรักษาโรคโดยการใช้แม่เหล็กขึ้นอย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลานั้นหลายคนยอมต่อรับทฤษฎีแม่เหล็กแห่งสัตว์ ทำให้เกิดการเขียนตำราขึ้นมาเผยแพร่แนวคิดนี้มากมาย และแน่นอนว่าตัว Mesmer เองน่าจะได้อ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อน
จากแนวคิดเรื่องแม่เหล็กแห่งสัตว์ที่ได้เผยแพร่กันอยู่ในโรปในสมัยนั้น Mesmer ก็ได้พัฒนาทฤษฏีแม่เหล็กแห่งสัตว์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ในการรักษาผู้คน เรียกว่าข้อ "สมมติฐาน 27 ข้อของ Mesmer"
โดยสรุปแล้ว Mesmer เชื่อว่ามีการตอบสนองกันในเชิงพลังงานอยู่ระหว่าง ดวงดาว โลก และร่างกายของมนุษย์ เขาเชื่อว่าพลังงานเหล่านี้ตอบสนองกับร่างกายของมนุษย์โดยอาศัยของเหลวในร่างกายโดยมีพลังงานแม่เหล็กที่ไหลเวียนในร่างกายเป็นสื่อ ดังนั้นจึงเกิดการเชื่อมโยงถึงกันระหว่างมนุษย์และสิ่งต่างๆ ซึ่งผลการเชื่อมโยงที่ว่านี้จะมีมากน้อยแค่ไหนก็ย่อมขึ้นอยู่ความแรงของพลังงานนั้นด้วย
เนื่องจากพลังงานแม่เหล็กไหลเวียนไปตามกระแสโลหิตในร่างกาย จึงทำให้พลังงานแม่เหล็กเป็นพลังงานที่สัมผัสโดยตรงกับระบบประสาทในร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถนำเอาพลังแม่เหล็กมาใช้ในการรักษาโรคทางประสาทได้
อิทธิพลจากภายนอกบางอย่างที่ส่งผลไปยังระบบประสาทตามแนวคิดของ Mesmer นี้เองที่จะเป็นประเด็นที่สำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการสะกดจิตในเวลาต่อมา เพียงอิทธิพลจากภายนอกบางอย่างที่ว่านั้นกลับไม่ใช่พลังแม่เหล็กอย่างที่ Mesmer เข้าใจเท่านั้นเอง
การรักษาด้วยพลังแม่เหล็กในยุคก่อนๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นรูปแบบที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งใดหรืความเปลี่ยนแปลงใดกำลังเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ Mesmer ทำนั้นกลับแตกต่างออกไป เพราะสิ่งที่ Mesmer ทำนั้นมีความเป็นรูปธรรมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์การชัก ร้องไห้ ตะโกนอย่างคนเสียสติ หรือการฝันลึก ทำให้วิธีการทำงานของ Mesmer เป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญก็คือหลังจากผ่านประสบการณ์อันบ้าคลั่งเหล่านั้นไปแล้ว ผู้รับการรักษาจาก Mesmer ก็มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นอย่างชัดเจน
ในช่วงปี 1780 ชื่อเสียงของ Mesmer โด่งดังเป็นอย่างมาก มีผู้สนใจมารับการรักษาจากเขามากมาย จนในที่สุดเขาก็พัฒนาเทคนิคการรักษาแบบให้ขึ้นมาที่เรียกว่า Mesmer Baquet เพื่อช่วยให้เขาสามารถรักษาคนป่วยที่มีอาการแตกต่างกันได้ในเวลาเดียวกัน
และอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคนไม่ค่อยกล่าวถึงเมื่อพูดถึงเรื่องของ Mesmer ก็คือ "การสะกดจิตตัวเอง" (Self Hypnosis) ไม่เพียงแต่การใช้พลังแม่เหล็กในการรักษาผู้อื่นเท่านั้น บ่อยครั้งที่ Mesmer และลูกศิษย์ใกล้ชิดของเขาได้ใช้พลังแม่เหล็กในการจัดการปัญหาสุขภาพของตัวเอง โดย Mesmer เชื่อว่าเมื่อเขาสามารถใช้พลังแม่เหล็กในตัวเขาไปจัดการกับปัญหาโรคภัยขอคนอื่นได้ เขาก็ควรจะใช้พลังแม่เหล็กในตัวจัดการกับปัญหาให้กับตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเทคนิคสะกดจิตตัวเองก็ว่าได้
และก็อย่างที่เราทราบกันโดยทั่วไปว่า ถึงแม้การรักษาแบบ Mesmer จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเวียนนา แต่ก็แสต่อต้านก็มีมากจนเขาถูกสภาแพทย์แห่งเวียนนาขับไล่ เรื่องนี้เป็นเหตุให้ Mesmer ต้องย้ายจากเวียนนามาอยู่ที่ฝรั่งเศสในกรุงปารีสแทน และที่กรุงปารีสนี้ เหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดียวกับที่เวียนนา
Mesmer ต้องการพิสูจน์ให้สาธารณะชนรวมไปถึงวงการแพทย์เห็นว่าวิธีการของเขาถูกต้องปลอดภัย และเชื่อถือได้ จึงได้มีการเรียกร้องให้ทำการตรวจสอบ โดยในปี 1787 สมาคมแพทย์ The Royel society of Medicine ซึ่งถือว่าทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากในสมัยนั้นก็ได้ตั้งคณะกรมการขึ้นมาตรวจสอบตามคำเรียกร้องของ Mesmer
คณะกรรมการที่เข้ามาตวจสอบในเรื่องนี้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับในสมัยนั้น ประกอบไปด้วย Benjamin Franklin (นักวิทยาศาสตร์และนักการเมืองชาวอเมริกัน) Antoine Lavoisier (นักเคมีชื่อดัง) และ Josep-Ignace Guillotin (แพทย์ผู้ประดิษฐ์เครื่องประหารชีวิต "กิโยติน") เป็นต้น
คณะกรรมการกลุ่มนี้ได้ข้อสรุปว่าแม่เหล็กแห่งสัตว์ตามคำกล่าวอ้างของ Mesmer นั้นไม่มีอยู่จริง ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยพลังแม่เหล็กแห่งสัตว์ของ Mesmer เป็นเพียงผลที่เกิดจากการพูดชักจูงโน้มน้าว (suggestion) และผลจากการจินตนาการของผู้รับการรักษา ดังนั้นหลักการหรือวิธีการรักษาของ Mesmer จึงเชื่อถือไม่ได้
การถูกปฏิเสธในครั้งนี้ถือว่าเป็นความผิดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ Mesmer เลยก็ว่าได้
ประกอบกับในขณะนั้นมีปรากฏการทางการเมืองที่รุนแรงมากในฝรั่งเศส การปฏิวัติโดยประชาชนก็ใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุด Mesmer จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์แทน
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเรื่องของ Mesmer จะจบอยู่เพียงเท่านั้น แต่เรื่องราวของลัทธิ Mesmerism และพลังแม่เหล็กแห่งสัตว์ของเขาก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ...อย่างเงียบๆ