Alfred Adler ลำดับการเกิด (Birth Order)
Adler เชื่อว่าพ่อแม่ปฏิบัติต่อลูกแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการปฏิบัติดังกล่าวมีส่วนข้องเกี่ยวกับลำดับการเกิดของลูกในครอบครัวนั้น ๆ ทั้งนี้ลูกคนแรกมักเป็นศูนย์กลางแห่งความสนใจของครอบครัวในช่วงที่น้องๆยังไม่เกิด เมื่อน้องเกิดเขาคนนั้นจะกลายเป็น "กษัตริย์ที่ถูกปลด" เพราะเขาต้องแบ่งความรักของพ่อแม่ไปให้น้อง ผลก็คือลูกคนแรกอาจรู้สึกต่อต้านและรู้สึกเป็นศัตรูกับน้อง ความรู้สึกดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะถ้าพ่อแม่ไมได้เตรียมใจเขาก่อนน้องเกิด แต่ถ้าเตรียมความพร้อมลูกคนโตจะกลายเป็นคนที่ปกป้องน้องดดยบ่อยครั้งทำตัวเป็นตัวแทนของพ่อแม่แลสารทุกข์สุกดิบของน้อง ในความคิดของ Adler ลูกคนแรกเข้าใจดีที่สุดเรื่องอำนาจ เพราะเธอหรือเขาเคยสูญเสียมันไปในครอบครัวตัวเอง ดังนั้น ลูกคนแรกมักจะกลายเป็นคนที่สนับสนุนและนิยมคนมีอำนาจเมื่อเป็นผู้ใหญ่และจะกลายเป็นคนที่ต้องการจะมีสถานะหรือตำแหนางจุดยืนทางสังคม ในทางการเมืองเขาจะเป็นคนอนุรักษ์นิยม
ส่วนลูกคนที่สองมีแนวโน้มที่จะมองพี่ว่า เป็นคู่แข่งที่เขาจะต้องเอาชนะ ถ้าลูกคนโตปกป้องน้องและส่งเสริมให้น้องก้าวหน้าพัฒนาการที่ดีก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าพี่ต่อต้านน้องและกลั่นแกล้งน้อง คนน้องก็มีทางที่จะเป็นโรคประสาท Adler ยังกล่าวต่อไปว่าคนน้องจะมีแนวโน้มที่จะต้องเป้าสูงเกินไปจนต้องผิดหวังเพราะความล้มเหลว
ส่วนลูกคนเล็กที่สุดจะเป็นลูกแหง่ของครอบครัว และได้รับความสนใจจากครอบครัวมากที่สุด Adler เชื่อว่า พ่อแม่มักจะทำให้ลูกคนเล็กเสียเด็กโดยการตามใจจนเกินไป ผลก็คือจะทำให้เขากลายเป็นคนที่พึ่งคนอื่นอย่างมาก ต้องให้คนอื่นปกป้องตลอดเวลา และเขาจะเป็นคนทะเยอทะยานที่บ่อยครั้งไม่ประสบความสำเร็จ
การเกิดของเด็กดังกล่าวได้รับการตอบรับด้วยความยินดีในตอนเกิด ถ้าเด็กไม่เป็นที่ต้องการ เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วลูกคนเดียวจะได้รับการเอาอกเอาใจโดยเฉพาะจากแม่ เมื่อโตขึ้นเด็กอาจมีปัญหาเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ถ้าเขาไม่ถูกเอาใจและยกยอเหมือนกับที่เคยได้รับมาก่อน
จากการรายงานที่มีอยู่พบว่าความคิดของ Adler ในเรื่องของการเกิด (birth order effect) ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีเมื่อพิจารณาจากผลการทดสอบ อย่างไรก็ตามแต่ก็มีการทบทวนผลงานวิจัยสามรายการและพบว่ามีข้อมูลที่สอดคล้องกันกับทฤษฎีของ Adler น้อย ดังนั้น ควรจะศึกษาข้อมูลต่อไปนี้ด้วยความระมัดระวัง เพราะมีความขัดแย้งกันของการตรวจสอบ
Adler เชื่อว่าเนื่องจากลูกคนแรกได้สูญเสียอำนาจเมื่อน้องคนรองเกิด เขาจะชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปในชีวิตโดยการพยายามสร้างความสำเร็จในชีวิตที่โดดเด่น นั่นหมายความว่าลูกคนแรกต้องการเอาชนะคนอื่นๆต้องการควบคุมคนอื่น ดังนั้น เราจึงคาดเดาได้เลยว่าลูกคนแรกจะต้องประสบความสำเร็จทางวิชาการและประสบความสำเร็จในกิจกรรมอื่นๆ เป็นใหญ่เป็นโตในสังคม
การคาดเดาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนบ้าง ทั้งนี้ Belmont and Marolla ได้พบความสัมพันธ์เชิงบวกเกี่ยวกับอันดับการเกิดและผลงานทางวิชาการโดยการศึกษาคนจำนวน 4 แสนคน โดยกลุ่มตัวอย่างนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมดของเนเธอร์แลนด์ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป ในช่วงระหว่างปี 1963 – 1966 พวกเขาพบว่าลูกคนแรกเรียนเก่งกว่าและเป็นนักวิชาการที่ประสบผลสำเร็จกว่าน้องในครอบครัวที่มีลูก 2-9 คน และแล้วในปี 1974 Breland ได้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์เชิงบวกเกี่ยวกับอันดับการเกิดและความสามารถทางวิชาการมีผลเป็นจริงในหมู่ผู้สมัครสอบทุน National Merit Scholarships เกือบ 8 แสนคน
บุคคลที่สนับสนุนความคิดของ Adler ที่แข็งขันเกี่ยวกับลูกคนแรกมีพัฒนาการทางวิชาการมากกว่าลูกคนที่เกิดทีหลังคือ Zajonc and Markus พวกนักวิชาการเหล่านี้ตั้งสมมุติฐานว่าการพัฒนาการทางจิตของเด็กขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางวิชาการซึ่งเด็กพวกนี้เติบโต ในขณะที่จำนวนลูกในแต่ละครอบครัวเพิ่มขึ้นพัฒนาการทางวิชาการก็จะด้อยลง ทั้งนี้เพราะลูกคนเล็กมาดึงความสนใจของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กไป เมื่อเฉลี่ยความเอาใจใส่ของผู้ใหญ่แล้วเด็กที่เป็นน้องก็จะพัฒนาการทางวิชาการที่ด้อยกว่าพี่ซึ่งมีผู้ใหญ่เอาใจใส่เต็มที่ การมีลูกหลายคนทำให้บรรยากาศทางวิชาการด้อยลง ทั้งนี้เพราะผู้ใหญ่ต้องเฉลี่ยความสนใจในการสอน
ในขณะเดียวกันลูกคนแรกก็ต้องทำหน้าที่เป็นครูอีกต่างหาก ทั้งนี้พ่อแม่มักคาดหวังให้สอนน้องในเรื่องต่างๆ ผลก็คือ พวกลูกคนโตต้องเรียนรู้มากขึ้นทำให้ได้มีการเร่งพัฒนาการทางวิชาการและความคิดส่วนลูกคนรองไปไม่ต้องทำหน้าที่ดังกล่าวมากเท่าพี่ ปกติเด็กเล็กกว่ามักถามพี่อยู่เรื่อย ส่วนตัวเองก็ไม่ต้องทำหน้าที่ผู้สอน แรงกดดันทางการเรียนรู้จึงต่างกัน ลูกคนเล็กที่สุดจะมีปัญหามากที่สุดคือไม่มีใครให้สอนเลย
Zajonc และ Markus ได้โต้ว่าข้อมูลมากมายของ Belmont, Marolla และ Breland ได้สนับสนุนทฤษฎีของพวกเขามากพอสมควร ส่วนผู้วิพากวิจารณ์อื่นเช่น Steelman ได้กล่าวว่าการเก็บข้อมูลอันอื่น ๆ ไม่ สนับสนุนทฤษฎีของ Zajonc และ Markus เขาวิจารณ์ว่าผลงานวิจัยที่ Zajonc และ Markus อ้างนั้นมิได้ควบคุมตัวแปรทางสังคมเศรษฐกิจของพ่อแม่ (socioeconomic status – SES) ทั้งนี้ตัวแปรเช่น การศึกษา อาชีพ และระดับรายได้มิได้รับการควบคุม ได้มีหลักฐานสนับสนุนพอสมควรกว่าฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจมีผลต่อพัฒนาการทางปัญญาของเด็ก ยิ่งพ่อแม่รวยเท่าใดลูกก็ยิ่งมีพัฒนาการทางปัญญามากเท่านั้น ในขณะเดียวกันพ่อแม่ที่มีฐานะดีมักมีลูกน้อยกว่าพ่อมาที่ยากจน ดังนั้น ลูกคนแรกที่ทดสอบจึงอาจมาจากครอบครัวที่มีลูกน้อย ฐานะดีกว่า ส่วนลูกคนรองที่ถูกทดสอบอาจมาจากครอบครัวที่มีฐานะด้อยกว่าและมีลูกมากกว่า สรุปว่า Steelman กล่าวว่าแทนที่จะเป็นลำดับการการเกิดแต่อาจเป็นฐานะทางสังคมเศรษฐกิจดีก็ได้ที่กำหนดพัฒนาการทางวิชาการหรือปัญญาเด็ก
ในการโต้ตอบกันอย่างเผ็ดร้อน Zajonc ได้กล่าวหา Steelman ไม่ได้อ้างการศึกษาหลายรายการที่ได้แสดงให้เห็นว่าลูกคนแรกมีพัฒนาการทางวิชาการที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะแบบไหน ในทำนองเดียว Steelman ได้ยืนยันว่าผลทางวิชาการที่สนับสนุนทฤษฎีของ Zajonc นั้นอ่อน เพราะสมมุติฐานขั้นพื้นฐานของ Zajonc ก็คือว่าการปฏิสัมพันธ์กับคนที่กระตุ้นปัญญาจะทำให้ฉลาด แต่ไม่มีงานวิจัยที่สนใจการปฎิสัมพันธ์จริงระหว่างพี่กับน้องและพ่อแม่ นอกจากนี้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่อื่นด้วยเช่นกัน ครูและเพื่อนของพ่อแม่ และกับเพื่อนร่วมรุ่น นอกจากนี้เด็กยังอ่านหนังสือและดูทีวี งานวิจัยที่ศึกษาการปฏิสัมพันธ์ทุกรูปแบบอาจทำให้ได้ทฤษฎีที่เกี่ยวกับลำดับการเกิดและพัฒนาการทางวิชาการที่ดีขึ้น และจะทำให้นักวิจัยหลุดพ้นจากภาวะขัดแย้งดังกล่าวด้วย
ลูกคนเดียวนั้นมีฐานะพิเศษ แม้พวกเขาจะไม่มีโอกาสติวน้องแต่พวกเขาก็ได้รับความเอาใจใส่จากพ่อแม่เต็มที่ อันที่จริง Falbo และ Cooper พบว่าแม่ของเด็กเล็กที่เป็นลูกคนเดียวใช้เวลามากกว่าแม่ที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคนจริง นอกจากนี้ Lewis และ Feiring พบว่าในระหว่างเวลาทานข้าวครอบครัวที่มีลูกคนเดียวคุยกับลูกมากว่า มีการแลกเปลี่ยนการสนทนากันมากกว่าครอบครัวที่มีลูกสองคน หรือสามคน ประการสุดท้ายมีผลงานวิจัยอื่นรายงานรายงานอย่างชัดแจ้งว่าลูกคนเดียวฉลาดกว่าลูกที่เกิดทีหลังในครอบครัวใหญ่กว่า และมีความเก่งพอ ๆ กับลูกคนแรก
ผลงานวิจัยของ Falbo และ Polit ยังได้ชี้ให้เห็นว่าลูกคนเดียวเข้าสังคมและมีการปรับตัวทางจิตวิทยาดีเท่าลูกที่มาจากครอบครัวที่มีลูกหลายคน Falbo ยังพบว่าลูกคนเดียวมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือร่วมมือในการเล่นเกมมากกว่าลูกคนโตและลูกคนสุดท้องซึ่งนิยมการแข่งขันมากกว่า ข้อมูลที่พบนี้ได้ค้านกับความคิดของ Adler ที่ว่าลูกคนเดียวมักจะมีปัญหาการปรับตัวเข้ากับสังคมเพราะไม่มีโอกาสเรียนรู้ทักษะในการเข้าสังคมโดยการมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้อง
ผลงานวิจัยอื่นๆ พบว่าลูกคนแรกมีจำนวนมากที่เรียนมหาวิทยาลัย เป็นนักเรียนปริญญาโทและเอกและเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทางวิทยาศาตร์และการเมือง ส่วน Wagner และ Schubert ก็ได้พบว่าลูกชายคนแรกได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มากในหมู่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่สอบตก Zweigenhalf พบว่ามีลูกคนแรกมากในสภาคองเกรส และ Melillo ได้ค้นพบว่าในหมู่สตรีที่ได้ปริญญาเอก หรือปริญญาแพทยศาสตร์เป็นลูกคนแรกจำนวนมาก
Ivancevich, Matteson และ Gamble ได้พบว่าการดิ้นร้นเพื่อความสำเร็จของลูกคนแรกนั้นมีข้อแลกเปลี่ยน คือพวกเขาคิดว่าลูกคนโต และลูกคนเดียว ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นคนดำหรือคนขาว เป็นหญิงหรือเป็นชาย ส่วนใหญ่มีบุคคลิกแบบ Type A ซึ่งเป็นบุคลิกที่ใช้ความเพียรอย่างมากในการสร้างสรรค์มากกว่าหรือการกระทำที่เสียเวลาน้อยที่สุด พวกเขาทำงานแข่งขันกับเวลา ผลก็คือบ่อยครั้งสุขภาพจะล้มเหลวและเป็นโรคหัวใจวาย ผลงานที่ศึกษาหลังจากนั้นของ Phillips Long และ Bedeian ได้ผลงานเช่นเดียวกัน โดยศึกษาตัวอย่างของนักสอบบัญชีอาชีพ และพบว่านักสอบบัญชีอาชีพลูกคนแรกได้คะแนนบุคคลิก Type A มากกว่า และมีความร้อนรนมากว่าลูกคนรองในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย
Adler ได้เสนอว่าลูกคนแรกร้อนรนใจเพราะเสียอำนาจ และพยายามกู้มันกลับมาโดยการทำเรื่องเอาใจใส่พ่อแม่ทำตามคาดหวังของพ่อแม่ เมื่อมีความกดดันพวกเขาจะหาความช่วยเหลือ ดังนั้นสมมุติฐานก็คือว่า ลูกคนแรกจะมีความร้อนรนมากว่าลูกคนรองเมื่อเผชิญอันตรายหรือถูกกดดัน ผลก็คือ พวกเขาจะเข้าหากลุ่มมากขึ้นเมื่อถูกกดดันหรือมีปัญหา
ผลงานวิจัยชิ้นแรกที่สนับสนุนทฤษฎีดังกล่าวคือ ผลงานของ Schachter ในการศึกษาของเขา เขาให้ผู้ถูกศึกษาสตรีได้รับการแนะนำให้รู้จักกับหมอซึ่งหมอจะบอกพวกเขาว่าจะเข้าร่วมการทดลองโดยมีการช็อตไฟฟ้าเพื่อดูผลการช็อตมีผลต่อชีพจรและความดันโลหิตอย่างไร ในสภาพที่หนึ่งผู้ทดลองบอกผู้ถูกศึกษาครั้งหนึ่งว่าการช็อตจะเบามากทำให้จักจี้เท่านั้น ผู้ถูกศึกษาทั้งหมดได้รับการบอกว่าต้องคอย 10 นาทีก่อนที่การช็อตจะเกิดขึ้น พวกเขาจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับหญิงอื่นก็ได้ จริงๆแล้วไม่มีคนไหนถูกช็อตเลย บุคคลประเภทที่สามคือพวกอย่างไรก็ได้คอยคนเดียวหรือคอยร่วมกับคนอื่นก็ได้ดังที่คาดเอาไว้ผลที่ออกมาก็คือว่า พวกลูกคนแรกร้อนรนใจมากกว่าพวกเกิดทีหลัง มีคนเกิดคนแรกจำนวนมากเลือกที่จะคอยร่วมกับคนอื่น
งานวิจัยชิ้นอื่นก็ได้พิสูจน์ว่าลูกคนแรกทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยกว่า ถ้ามีความกดดันมาก และพวกเขามักไม่ค่อยเล่นกีฬาประเภทเสี่ยงภัย
Adlerยังได้กล่าวอีกว่า ลูกคนเล็กจะได้รับการตามใจมากที่สุดในบ้าน การตามใจลูกจำทำให้กลายเป็นคนที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเป็นอย่างมาก และมักหาทางออกง่ายๆในการแก้ปัญหาพฤติกรรมพึ่งพาเป็นอย่างมากจะปรากฎในครอบครัวที่มีลูกชายเป็นลูกคนสุดท้อง และพี่ๆเป็นพี่สาวแทนที่จะเป็นพี่ชาย ในลักษณะนี้ลูกคนเล็กจะมีความรู้สึกขัดแย้งระหว่างต้องการอิสระภาพและต้องการพึ่งผู้อื่นเพื่อความสะดวกสบายในการรับสนองความต้องการ เป็นที่คาดเดากันว่าลูกคนเล็กจะเป็นคนติดเหล้ามากกว่าคนเกิดลำดับอื่น ในการตรวจสอบงานวิจัย 27 ชิ้น เกี่ยวกับลำดับการเกิดและการเป็นแอลกอฮอลิค Barry และ Blane พบว่าในจำนวนงานวิจัย 27 ชิ้นมีอยู่ 20 ชิ้นชี้บ่งว่าลูกคนสุดท้องมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ติดสุราเรื้อรังได้
จากทั้งหมดที่ได้กล่าวมา จะสามารถสรุปรวมใจความของบุคลิกภาพของลูกแต่ละคนในครอบครัวได้ดังนี้
1. ลูกคนโต มักจะมีบุคลิกภาพ เป็นคนเอาจริงเอาจังต่อชีวิต มีความรับผิดชอบ มักเป็นผู้นำ ผู้ไว้อำนาจแต่ถ้าแก้ความก้าวร้าวไม่ได้ ลูกคนโตมักมีบุคลิกภาพก้าวร้าว เคร่งเครียด และอิจฉาริษยา
2. ลูกคนรอง มักมีบุคลิกภาพ เป็นคนไม่เคร่งเครียด ไม่เอาจริงเอาจังเท่าไรนัก มีนิสัยรักสนุก ไม่ค่อยสนใจที่จะเป็นผู้นำหรือรับผิดชอบสักเท่าไร แต่เมื่อลูกคนรองมีน้องความรู้สึกการแข่งขันจะเกิดขึ้นทันที ถ้าในครอบครัวมีสัมพันธภาพไม่ดี อาจทำให้ลูกคนรองที่กลายมาเป็นคนกลางอาจมีความรู้สึกว่าพ่อแม่ ลำเอียง และเกิดปัญหาในที่สุด
3. ลูกคนสุดท้อง มักมีบุคลิกภาพเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง ช่างประจบ ชอบให้คนอื่นช่วยเหลือ ได้รับความรักจากพ่อแม่พี่ๆ ค่อนข้างมาก ถ้าเลี้ยงดีก็จะดีมากแต่ถ้าเลี้ยงตามใจมากเด็กอาจเสียในที่สุด
4. ลูกโทน มักจะมีบุคลิกภาพที่มักจะเอาแต่ใจตนเอง มักถูกตามใจจนเคยตัว แต่ถ้าครอบครัวสอนให้รู้เหตุรู้ผลลูกโทนจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง องอาจ นับถือตนเอง แต่ความรับผิดชอบอาจน้อยเพราะต้องการอะไรก็มักจะได้โดยง่ายจึงไม่รู้ค่าของสิ่งที่มี