เข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นด้วย NLP Calibration

   


"NLP Calibration"
 
ความสามารถที่สำคัญอย่างหนึ่งของสมองก็คือความสามารถในการ “เข้าใจถึงอารมณ์ของผู้อื่น” 
 
ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นนี้ทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้ สื่อสารกันได้ และนำไปสู่เรื่องที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์นั่นก็คือ “ความเห็นอกเห็นใจกันซึ่งกันและกัน”
 
ความจริงแล้วมีคนบนโลกนี้จำนวนมากที่ขาดความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น 
 
เช่นบุคคลที่เป็นออทิสติก บุคคลพิเศษเหล่านี้โดยส่วนใหญ่จะไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนที่อยู่รอบตัวได้ นั่นหมายความว่าไม่ว่าคุณจะหัวเราะหรือร้องให้ จะยิ้มแย้มหรือหน้าบึ้งตึง บุคคลพิเศษเหล่านี้จะไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่ากริยาเหล่านั้นมันเป็นการแสดงออกที่มีความแตกต่างกันตรงไหน 
 
เมื่อแยกแยะไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรตอบสนองกับผู้คนที่มีอารมณ์แตกต่างกันด้วยวิธีการที่แตกต่างกันอย่างไรดี และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การจะสื่อสารหรืออยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคมจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นอย่างมากสำหรับคนกลุ่มนี้
 
และก็ไม่ได้มีเพียงแต่ออทิสติกเท่านั้น แม้แต่คนปรกติทั่วไปหลายคนก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการเข้าใจความรู้สึกของผู้คนได้เช่นกัน(แต่ยังไม่หนักเท่าออทิสติก) 
 
อาจจะด้วยบุคลิกภาพ พัฒนาการ การเลี้ยงดู หรืออะไรก็ตาม ทำให้หลายคนขาดทักษะในการเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น 
 
หลายคนไม่รู้หรืออย่างน้อยก็ไม่แน่ใจว่าพฤติกรรมอันแสนจะคลุมเครือที่คนอื่นแสดงออกมาเช่นการนิ่งเงียบ ยิ้มน้อยๆ จ้องมอง ไม่สบตา หรือเดินหนีจากไป เหล่านี้กำลังสื่อสารถึงอารมณ์หรือความรู้สึกแบบใดกันแน่ 
 
ในเมื่อไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่าคู่สนทนามีอารมณ์เช่นใดก็เลยไม่รู้ว่าควรที่จะตอบสนองกลับไปอย่างไร และก็มักจะตามมาด้วยปัญหาความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ ต่อบุคคลที่อยู่รอบตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
เช่นเมื่อกล่าวทักทายคู่สนทนาแปลกหน้าแล้วเขาหรือเธอก็ยิ้มตอบกลับมา 
 
ความจริงแล้วรอยยิ้มนั้นอาจจะกำลังหมายถึงความรู้สึกอึดอัดและไม่ไว้วางใจก็ได้ ถ้าคุณไม่เข้าใจหรือตีความหมายผิดพลาดไปว่านั้นคือยิ้มไมตรีจิตที่เชื้อเชิญชวนให้เดินดุ่มๆ เข้าไปคุยอย่างเป็นกันเองได้แล้วล่ะก็ อย่าแปลกใจว่าทำไมไมตรีนี้มันจึงต้องจบลงด้วยความล้มเหลวมากกว่าอย่างอื่น
 
เขายิ้มไล่ครับไม่ได้ยิ้มเรียก 
 
ความจริงบางทีมันก็ไม่ถึงขนาดว่าไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เพียงแค่ไม่แน่ใจหรือตีความหมายผิดพลาดไป แต่เพียงแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้วสำหรับการเป็นจุดเริ่มต้นของการขัดแย้งหรือความล้มเหลวในการสื่อสารต่อกัน
 
ทักษะในการล่วงรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้คนจึงเป็นสิ่งสำคัญครับ
 
เราจะพัฒนาทักษะการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นได้อย่างไร?
 
สำหรับเทคนิคหรือวิธีในการพัฒนาทักษะการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นนั้น NLP เรียกว่าการ "Calibration" 
 
ซึ่งคำว่า Calibration นั้นแปลความหมายอย่างตรงตัวได้ว่า “การเปรียบเทียบมาตรฐาน”
 
การ Calibration เป็นอย่างไร?
 
ก่อนที่จะกล่าวรายละเอียดในการฝึกเทคนิค Calibration ของ NLP ผมอยากกล่าวย้อนไปที่เรื่องของการแสดงอารมณ์ของผู้คนเป็นพื้นฐานกันซักหน่อย 
 
หลักการง่ายๆ มีอยู่ว่าอารมณ์หรือความรู้สึกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองของสมองในส่วนของจิตใต้สำนึก เมื่อสมองรับรู้ผ่านทางระบบประสาทสัมผัส สมองก็จะตีความหมายต่อสิ่งที่รับรู้ และในที่สุดก็ผลิตการตอบสนองคืนกลับด้วยสภาวะอารมณ์หรือความรู้สึก 
 
ผลลัพธ์จากกระบวนการนี้ก็จะถูกแจกจ่ายไปตามระบบประสาททั่วร่างกายจนเกิดเป็นการแสดงออกในเชิงพฤติกรรมต่างๆ เพื่อสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกนั้นกลับคืนสู่โลกภายนอก ไม่ว่าจะด้วยภาษาพูดหรือภาษากายก็ตาม
 
ในฐานะของผู้รับสารเราก็มีความจำเป็นที่ต้องตีความหมายต่อสารที่ส่งออกมาอย่างแม่นยำเพื่อที่จะสามารถตอบสนองคืนกลับได้อย่างเหมาะสมที่สุด
 
แต่ตามธรรมชาติแล้วแต่ละบุคคลก็ย่อมรูปแบบการสื่อสารเป็นของตนเองตามแต่ละวัฒนธรรม ความถนัด รวมไปถึงความเคยชินของตนเอง เช่นเมื่อรู้สึกกลัว บางคนอาจจะอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไรมากกว่าหายใจเบาๆ แล้วกลืนน้ำลายซักเอื๊อกใหญ่ ในขณะที่หลายคนอาจจะร้องโวยวายออกมาในทันที 
 
นั่นหมายความว่าในอารมณ์หรือความรู้สึกหนึ่งแบบ มันมีวิธีการจำนวนมากทีเดียวที่มนุษย์จะใช้ในการสื่อสารมันออกมา ซึ่งเป็นเรื่องบุคลิกเฉพาะส่วนบุคคลที่อาจจะเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้
 
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เมื่อเราถนัดหรือเคยชินที่จะใช้วิธีการสื่อสารแบบใด สมองของเราก็มักจะเคยชินนั้นเป็นมาตรฐานในการตีความหมายสิ่งอื่นไปด้วย 
 
เช่นถ้าเรานิ่งเงียบเมื่อรู้สึกประหม่า สมองของเราก็มีแนวโน้มที่จะตีความหมายความนิ่งเงียบของคนอื่นว่าคือความประหม่าตามที่เราเคยชินด้วย 
 
หากการตีความหมายนี้ถูกต้องตรงกันก็แล้วไป กระบวนการสื่อสารก็จะสามารถดำเนินวงจรของมันต่อไปได้โดยราบรื่น แต่ถ้าการตีความหมายมันเกิดความคลาดเคลื่อน ความยุ่งยากก็จะเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างไม่
 
ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาทักษะการเข้าใจอารมณ์ของผู้คนให้มีประสิธิภาพดียิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นจะต้องขยายกรอบการรับรู้ในเชิงอารมณ์ของเราออกไป โดยอาศัยการฝึกตรวจสอบและเทียบเคียงที่เรียกว่าการ Calibration
 
เมื่อจะฝึก Calibration สิ่งที่เราจำเป็นอย่างยิ่งคือใครซักคนที่ยินดีฝึก Calibration ร่วมกับเราครับ โดยวิธีการจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
 
1. ผู้ฝึกและผู้ร่วมฝึกนั่งหันหน้าเข้าหากันในระยะที่สามารถมองเห็นรายละเอียดที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของผู้ร่วมฝึกได้อย่างชัดเจน
 
2. ขอให้ผู้ร่วมฝึกของเราหลับตาลง หายใจลึกๆ และผ่อนคลายร่างกายซักครู่หนึ่ง โดยอาจจะนับ 10 ถึง 1 เป็นตัวช่วยสร้างความสงบและผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว
 
3. ในระหว่างที่ผู้ร่วมฝึกกำลังอยู่ในภาวะสงบและผ่อนคลายนี้ ขอให้ผู้ฝึกสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นที่ใบหน้าของผู้ร่วมฝึก เช่นคิ้ว เปลือกตา ริมฝีปาก เมื่อเขาเริ่มเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย
 
4. บอกให้ผู้ร่วมฝึกลืมตาขึ้นโดยยังคงความรู้สึกผ่อนคลายนั้นไว้ ในระหว่างนี้ขอให้ผู้ฝึกสังเกตรายละเอียดที่เกิดขึ้นที่ใบหน้าของผู้ร่วมฝึกต่อไป
 
5. ให้ผู้ร่วมฝึกหลับตาลงอีกครั้ง คราวนี้ขอให้ผู้ร่วมฝึกจินตนาการถึงเหตุการณ์บางอย่างอันจะนำไปสู่อารมณ์บางประการ เช่นดีใจ เศร้า สนุกสนาน โมโห กลัว หรืออื่นๆ (ตรงนี้แล้วแต่ผู้ร่วมฝึกจะเป็นผู้กำหนดเองโดยที่ผู้ฝึกไม่ได้เป็นผู้เลือก) ในระหว่างนี้ขอให้ผู้ฝึกสังเกตรายละเอียดที่เกิดขึ้นที่ใบหน้าของผู้ร่วมฝึก
 
6. บอกให้ผู้ร่วมฝึกลืมตาขึ้นโดยยังคงความรู้สึกนั้นเอาไว้ซักครู่หนึ่ง เพื่อให้ผู้ฝึกมีโอกาสได้สังเกตรายละเอียดที่เกิดขึ้นที่ใบหน้าของผู้ร่วมฝึกต่อไปอีกซักครู่หนึ่ง
 
7. ให้ผู้ร่วมฝึกของเราหลับตาลง หายใจลึกๆ และผ่อนคลายร่างกายเพื่อเป็นสลายอารมณ์และความรู้สึกนั้นไป
 
8. ผู้ฝึกทายว่าเมื่อครู่ผู้ร่วมฝึกรู้สึกอย่างไรหรืออารมณ์อย่างไร
 
หลังจากการฝึกเสร็จสิ้นลงก็ให้ผู้ร่วมฝึกเฉลยคำตอบออกมาดูว่าถูกต้องหรือไม่ หรือเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันไปมากน้อยแค่ไหน 
 
โดยเราจะฝึก Calibration ตั้งแต่ขั้นที่ 1 จนถึง 8 นี้ซ้ำๆ หลายรอบโดยให้ผู้ร่วมฝึกสลับสับเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ไปเรื่อยๆ 
 
การฝึก Calibration บ่อยๆ จะช่วยให้ทักษะในการเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นมีความเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ 
 
ว่ากันว่าคนที่มีทักษะ Calibration สูงๆ เพียงแค่มองเห็นใบหน้าของผู้คนเพียงแวบเดียวก็สามารถประเมินอารมณ์ของคนๆ นั้นได้อย่างแม่ยำ ซึ่งเป็นผลอันเกิดจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเรียนรู้ซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าในการที่จะเข้าถึงอารมณ์ที่อยู่ภายในตัวตนของผู้คน
 
ทั้งหมดนี้เป็นทักษะที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างตั้งใจ สามารถฝึกฝนให้เกิดลัพธ์ที่น่าประทับใขจได้ทุกคน ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติหรือเกินเลยความสามารถของคนทั่วไปแต่อย่างใดครับ