อาวุธวิเศษ 4 ประการ

   


วันก่อนโน้นได้เขียนกล่าวไปว่า “Rapport” (มิตรภาพ ไมตรีจิต ความไว้วางใจ) คือ 1 ใน 4 อาวุธวิเศษที่จะช่วยทำให้ใครสักคนสามารถได้รับกลับการประสบความสำเร็จสมดังความตั้งใจ
.
ก็มีคำถามๆ มาว่า แล้วอาวุธอีก 3 อย่างที่เหลือนั้นมีอะไรบ้าง?
.
ขอตอบอย่างนี้ว่าอาวุธวิเศษประการแรกก็คือ “Outcome Thinking” (การตระหนักถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ) อธิบายง่ายๆอย่างนี้ว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้ว่าตนเองต้องการอะไรหรือเป้าหมายอยู่ที่ตรงไหน
.
เพราะมันมีเป้าหมายมันถึงรู้ว่าควรไปทางไหน ควรทำอะไรบ้างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
.
มันก็เหมือนกับการยิงธนูนั่นแหละลูกธนูจะพุ่งไปทางไหนล่ะ? จะยิงสะเปะสะปะอย่างนั้นหรือ? การทำอย่างนั้นไม่มีประโยชน์หรอก(เปลืองลูกธนูด้วย) มันต้องยิงให้เข้ากลางเป้าสิ
.
แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นได้คุณก็จำเป็นต้องมีเป้าเสียก่อน ถูกต้องไหม?
.
การมี Outcome Thinking ที่ชัดเจนนอกจากจะทำให้เรารู้ว่าควรทำหรือไม่ทำอะไรแล้ว มันก็ยังช่วยทำให้เกิดความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้อีกด้วย คือยิ่งผลลัพธ์ที่เราต้องการมันชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งมีแรงที่จะวิ่งเข้าไปหามันมากขึ้นเท่านั้น
.
ลองนึกถึงหีบสมบัติที่วางอยู่ตรงหน้านะ ถ้าเราเห็นมันชัดๆรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้นแน่ๆ มันก็จะไม่มีเหตุผลเลยที่เราจะไม่วิ่งเข้าไปหา
.
และต่อให้มีอุปสรรคบ้างก็ไม่เป็นไร มีน้ำก็ว่ายน้ำมีไฟก็ลุยไฟสู้ตายกันเลยล่ะทีนี้ขอให้ได้สมบัติพวกนั้นมา
.
แต่ถ้ามีแต่ไฟมีแต่น้ำแต่มองไม่เห็นหีบสมบัติ บอกตรงๆ เลยว่าไม่มีแรงหรอก อยู่เฉยๆดีกว่า
.
อาวุธวิเศษประการที่สองก็คือ “Behavioural Flexibility” (ความยืดหยุ่นของพฤติกรรม) ข้อนี้อธิบายเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่าอย่าเป็นคนหัวดื้อหัวรั้นแบบไม่เข้าท่า
.
จริงอยู่ที่การทำสิ่งต่างๆให้บรรลุผลสำเร็จต้องมีความมุ่งมั่น เจออุปสรรคนิดหน่อยจะเลิกล้มกลางคันนั้นไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงของโลกใบนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะสามารถสำเร็จได้สมดังใจเสมอไป
.
คนที่ประสบความสำเร็จจะมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งก็คือพวกเขามีเป้าหมายชัดเจน มีความมุ่งมั่น แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จะไม่ลังเลเลยที่จะเปลี่ยนแผนการที่วางไว้เป็นอย่างอื่นแทนหากแน่ชัดแล้วว่าแผนการเดิมมันไม่ได้ผล
.
ขอให้ลองนึกภาพตามอย่างนี้นะครับว่า สมมุติว่าคุณวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีเลยว่าสุดสัปดาห์นี้เราจะปิ้งบาร์บีคิวกันตรงสวนหน้าบ้าน ว่าแล้วก็เตรียมเตาเตรียมหมูเตรียมไก่เอาไว้พร้อมสรรพ
.
ปรากฏว่าพอถึงวันจริงฝนดันตกหนักไม่มีวี่แววจะหยุดเลย คำถามคือเราจะดันทุรังปิ้งบาร์บีคิวกันกลางฝนอย่างนั้นหรือ? จะดีกว่าไหมถ้าจะย้ายวงเข้ามาในบ้านแล้วเปลี่ยนจากเตาบาร์บีคิวเป็นหม้อสุกี้แทน
.
ความจริงอาวุธชิ้นแรกกับชิ้นที่ 2 นี้มันมีความขัดแย้งกันเองอยู่นิดๆ เพราะอันแรกบอกให้มุ่งมั่นแต่อันที่สองบอกไม่เป็นไรเปลี่ยนก็ได้ ตกลงจะเอายังไงกันแน่?
.
อยากให้เปรียบเทียบอย่างนี้ว่า Outcome Thinking เหมือนดาบแรกใช้ฟาดฟันข้าศึกศัตรู ส่วน Behavioural Flexibility คือดาบสำรอง ถ้าดาบแรกหลุดมือถือหักไปดาบที่ 2 นี่แหละจะเป็นตัวเข้ามาช่วย
.
พูดง่ายๆคือเป็นคนรู้แพ้รู้ชนะ มีสปีริตนักกีฬา
.
ดาบที่ 3 คือ “Rapport” (มิตรภาพ ไมตรีจิต ความไว้วางใจ) อันนี้เคยได้กล่าวถึงไปแล้วว่าทรงพลังมากถึงขั้นเปลี่ยนผิดเป็นถูกกันได้เลยทีเดียว อันนี้เหมือนดาบเวทมนต์เป็นไอเทมเสริม ใครมีก็จะได้เปรียบมากกว่าคนอื่นแน่นอน
.
ขอให้ลองนึกภาพอย่างนี้ว่าสมมุติวันนึงเราไปติดต่อสั่งออเดอร์ผลิตสินค้าจากโรงงาน เจ้ากรรมเซ็นเอกสารอนุมัติสั่งให้ผลิตไปแล้วถึงพบว่าสั่งไปผิดสเปค งานนี้มีหวังขาดทุนเป็นล้านแถมสะเพร่าเองด้วยจะทำยังไงดีล่ะ?
.
แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนซี้เจ้าของโรงงานนะ แถมมี Rapport ต่อกันมากๆ แค่กดโทรศัพท์ไปคุยแป๊บเดียวก็จบ
.
และดาบที่ 4 ซึ่งเป็นดาบสุดท้ายก็คือ “Sensory Awareness” (ระบบประสาทการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพ) ข้อนี้อธิบายได้ว่าการรับรู้ของสมองและระบบประสาทต่อเหตุการณ์ต่างๆที่คุณมีมันต้องเที่ยงตรง ไม่เลือกข้างด้วยความลำเอียง ไม่ดราม่า ไม่เหมารวม ไม่ตัดรายละเอียดสำคัญทิ้ง และที่สำคัญคือต้องไม่บิดเบือนความจริง(เช่นไม่หลอกตัวเอง)
.
ข้อนี้ค่อนข้างอธิบายยากเพราะมีรายละเอียดมากพอสมควร โดยรวมเป็นเรื่องของความเข้มแข็งในเชิงบุคลิกภาพรวมไปถึงชุดความคิดและความเชื่อที่ใช้มองโลกใบนี้ สามารถนำมาพูดมาเขียนได้กันอีกยืดยาวเลยทีเดียว
.
นอกจากอาวุธวิเศษทั้ง 4 นี้แล้วบางทีตำรารุ่นหลังๆ ก็มีการเพิ่มอาวุธวิเศษเข้ามาอีก 2 อย่างนั่นก็คือ “Belive” (ความเชื่อที่สร้างสรรค์) กับ “Do it Now” (ลงมือทำทันทีอย่าผัดวันประกันพรุ่ง)